Child Labour
อนุสัญญาแรงงานเด็กของ ILO ได้รับการให้สัตยาบันสากล
ประเทศสมาชิก 187 ประเทศขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญา ไอแอลโอ ที่ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ 182)
เจนีวา (ข่าวไอแอลโอ) - เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ไอแอลโอ ที่อนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศได้รับการให้สัตยาบันโดยประเทศสมาชิกทุกประเทศ
อนุสัญญา ฉบับที่ 182 ที่ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก ได้รับการให้สัตยาบันสากลหลังจากการให้สัตยาบันโดยราชอาณาจักรตองงา
ฯพณฯ เอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรตองงา นาย Titilupe Fanetupouvava'u Tuivakano ได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการกับ นาย กาย ไรเดอร์ ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563
อนุสัญญาฉบับนี้เป็นอนุสัญญาที่ได้รับการให้สัตยาบันอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กร นับตั้งแต่มีการรับรองอนุสัญญาฉบับนี้เมื่อ 21 ปีที่แล้วโดยที่ประชุมแรงงานระหว่างประเทศ
“การให้สัตยาบันสากลอนุสัญญา ฉบับที่ 182 คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อันมีหมายความว่า ปัจจุบัน เด็กๆ ทุกคนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายที่ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก” นาย กาย ไรเดอร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ไอแอลโอ กล่าว “สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพันธสัญญาในระดับโลกว่ารูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด เช่นการใช้แรงงานบังคับ การแสวงประโยชน์ทางเพศ การใช้เด็กในความขัดแย้งทางสงคราม หรือในงานที่ผิดกฎหมาย หรือมีอันตรายอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพ ศีลธรรมหรือสภาพจิตใจของเด็กนั้น ไม่มีที่ยืนในสังคมของเรา”
เลขาธิการสมาพันธ์สหภาพการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Union Confederation - ITUC) ชารัน เบอราว แสดงความยินดีต่อการให้สัตยาบัน
“การให้สัตยาบันสากลของอนุสัญญา ฉบับที่ 182 เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญและทันเวลาถึงความสำคัญของมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศของ ไอแอลโอ และความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาระดับโลกแบบพหุภาคี การใช้แรงงานเด็กเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรงและเป็นหน้าที่ของไตรภาคีของ ไอแอลโอ และประชาคมระหว่างประเทศในการให้ความมั่นใจว่าอนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดในระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก
“การให้สัตยาบันสากลอนุสัญญา ฉบับที่ 182 ของ ไอแอลโอ ที่ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” นาย Roberto Suárez Santos เลขาธิการองค์กรนายจ้างระหว่างประเทศ (International Organization of Employers - IOE) กล่าว “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา IOE และองค์กรสมาชิกได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับนี้ วันนี้ ภาคธุรกิจได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการทำธุรกิจด้วยความเคารพต่อสิทธิเด็ก สิ่งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 เราไม่สามารถปล่อยให้การต่อสู้กับรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กถอยหลัง ด้วยความร่วมมือกัน เราสามารถดำเนินการเพื่อยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบ”
การให้สัตยาบันสากลครั้งนี้เป็นการสานต่อแรงบันดาลใจอีกก้าวหนึ่งของ Kailash Satyarthi ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่กล่าวว่า“ฉันฝันถึงโลกที่เต็มไปด้วยเด็กที่ปลอดภัยและวัยเด็กที่ปลอดภัย…ฉันฝันถึงโลกที่เด็กทุกคนมีอิสระภาพในการเป็นเด็ก”
ไอแอลโอ ประเมินว่าแรงงานเด็กมีจำนวน 152 ล้านคน 73 ล้านคนของจำนวนนี้ทำงานที่อันตราย 70 เปอร์เซ็นต์ของการใช้แรงงานเด็กเกิดขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากความยากจนและความยากลำบากของผู้ปกครองในการหางานที่มีคุณค่า
อนุสัญญา ฉบับที่ 182 เรียกร้องให้ห้ามและกำจัดรูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุดซึ่งรวมถึงการเป็นทาส การใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ ห้ามมิให้ใช้เด็กในการสงคราม ในการค้าประเวณี สื่อลามกและกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่นการค้ายาเสพติดและในงานที่อันตราย
อนุสัญญา ฉบับที่ 182 เป็นหนึ่งในอนุสัญญาหลัก 8 ฉบับของ ไอแอลโอ อนุสัญญาหลักเหล่านี้ครอบคลุมเรื่องการยกเลิกการใช้แรงงานเด็ก การขจัดแรงงานบังคับ การยกเลิกการเลือกปฏิบัติด้านการทำงานและสิทธิต่อเสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรอง หลักการเหล่านี้ยังอยู่ภายใต้
Declaration on Fundamental Principles and Rights at Work (1998) ของ ไอแอลโอ อีกด้วย
นับตั้งแต่การก่อตั้ง ไอแอลโอ ในปี พ.ศ. 2462 การใช้แรงงานเด็กเป็นปัญหาหลัก นาย อัลเบิร์ต โธมัส ผู้อำนวยการคนแรกขององค์กรกล่าวถึงการใช้แรงงานเด็กว่า“การเอารัดเอาเปรียบความเป็นเด็กถือเป็นความชั่วร้าย… เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดต่อจิตใจมนุษย์ การทำงานทางกฎหมายอย่างจริงจัง เริ่มต้นที่การคุ้มครองเด็กก่อนเสมอ ”
อนุสัญญา ฉบับที่ 182 เป็นศูนย์กลางของโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของ ไอแอลโอ โครงการหนึ่ง - โครงการระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการใช้แรงงานเด็ก (International Programme on the Elimination of Child Labour - IPEC +) ซึ่งได้ให้การสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ทั่วทุกทวีป กว่า 100 ประเทศ
การใช้แรงงานเด็กและรูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุดได้ลดลงเกือบร้อยละ 40 ระหว่างปี พ. ศ. 2543-2559 เนื่องจากการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฉบับที่ 182 และ อนุสัญญา ฉบับที่ 138 (ว่าด้วยอายุขั้นต่ำในการทำงาน) ได้เพิ่มจำนวนขึ้นและเนื่องจากการที่ประเทศต่างๆ ได้บังคับใช้กฎหมายและนโยบายที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าได้ชะลอตัวลงในปีที่ผ่านๆ มา ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กกลุ่มที่อายุน้อยที่สุด (5 -11 ขวบ) การระบาดของ COVID-19 ก่อให้เกิดความเสี่ยงเป็นอย่างมากว่าความคืบหน้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเกิดการถอยกลับซึ่งจะนำไปสู่แนวโน้มที่การใช้แรงงานเด็กจะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ยกเว้นแต่จะมีการดำเนินการที่เหมาะสม
“การยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบ ภายในปี พ. ศ. 2568”อยู่ภายใต้เป้าหมาย 8.7 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ที่รับรองโดยประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติทุกประเทศในปี พ. ศ. 2558 การให้สัตยาบันสากลอนุสัญญา ฉบับที่ 182 แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิก ไอแอลโอ ทุกประเทศในการให้ความมั่นใจว่า เด็กทุกคน ในทุกที่ เป็นอิสระจากแรงงานเด็กและรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก
ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนการเริ่มต้นปีแห่งการขจัดการใช้แรงงานเด็ก (International Year for the Elimination of Child Labour) ปี พ. ศ. 2564 ที่ ไอแอลโอและพันธมิตรเป็นผู้นำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเพื่อเร่งยกระดับความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา